เทศน์พระ

ที่สูง

๑๙ ก.ค. ๒๕๕๙

 

ที่สูง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งใจทำความสงบฟังธรรม ฟังธรรมเพราะว่าวันนี้วันอาสาฬหบูชา พรุ่งนี้จะวันเข้าพรรษา ถ้าวันเข้าพรรษา เห็นไหม พระเรานี่ต้องหาสถานที่จำพรรษา สถานที่จำพรรษาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติไง เวลาออกนอกพรรษา เห็นไหม เราออกวิเวก ออกหาความสงบสงัดในป่าในเขา ถึงที่สุดแล้วเราจะจำพรรษาที่ไหน เราต้องจำพรรษา

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันอาสาฬหบูชา แล้วพรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าพรรษา ถ้าเข้าพรรษาแล้วนี่ วันนี้วันลงอุโบสถ อุโบสถสังฆกรรม เราเข้าหมู่กัน เรามาเข้าหมู่กันเพื่อ เห็นไหม เพื่อเป็นสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะเขาเรียกเข้าหมู่ หาหมู่หาพวก ถ้าไม่มีหมู่มีพวกเวลาเราทำสิ่งใดแล้วนี่เราทำโดยเอกเทศ ทำโดยเอกเทศเราก็คิดว่าของเราทำถูกต้องดีงามไปทั้งหมด แต่มันไม่มีการเปรียบเทียบไง

แต่การเข้าหมู่ เห็นไหม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน การประพฤติปฏิบัติของท่าน สมัยนั้นพระเขาเป็นพระบ้านเขาไม่ค่อยสนใจ เขาไม่ค่อยสนใจ เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มันถึงว่าแยกออกจากหมู่ มันไม่เหมือนเขา ความไม่เหมือนเขา แต่ไม่เหมือนเขานี่แต่เป็นคนที่มีอำนาจวาสนาหรือไม่ มีสติปัญญาพยายามจะเอาตนรอดพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากหรือไม่

ถ้าจะเอาตนเองพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม หมู่คณะอย่างนั้น ถ้าหมู่คณะอย่างนั้น เขาทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเชื่อตามประเพณีวัฒนธรรมเป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าจะเอาความจริงขึ้นนี่ ความจริงขึ้นมาเนี่ย มันรู้ได้โดยเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันรู้ได้ในความเป็นจริงในใจของเราไง

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านจริงจังของท่าน ท่านเคารพบูชาของท่าน ท่านเคารพบูชาอะไร ท่านเคารพบูชา บูชาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ ท่านเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขนะ ท่านก็เคารพธรรมของท่าน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบ พระถามว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปกราบอะไร กราบธรรม กราบธรรมไง กราบธรรมคือกราบสัจธรรมอันนั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เพราะการตรัสรู้ขึ้นมาอันนั้นเป็นอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรา มีความสามารถเท่าเรา นี่คำว่าเท่าเราๆ เท่าเรานะเป็นคำยกย่องสรรเสริญของอาฬารดาบส อุทกดาบส แต่เจ้าชายสิทธัตถะมีความลังเลสงสัยในใจ มีความทุกข์ในหัวใจ เพราะมันยังไม่สิ้นกิเลสไป

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เองโดยชอบ ความชอบธรรมโดยมรรคญาณ โดยสัจธรรมความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เพราะการรื้อค้นขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่มีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้วันอาสาฬหบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมอันนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมอันนั้น เวลาสัจธรรมเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาอย่างนั้น

ถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เพราะเคารพบูชาธรรมะ ธรรม สัจธรรม สัจจะความจริงไง เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม เคารพสัจธรรม เคารพสัจจะความจริง เห็นไหม ยอมความจริง ยอมสัจจะ ยอมความจริง ไม่ดื้อ ไม่รั้น ไม่กีดไม่ขวาง ถ้ามันดื้อรั้นกีดขวางนั้นมันเป็นทิฏฐิมานะของตน คำว่าความทิฏฐิมานะของตน ทิฏฐิมานะของใจของใคร มันก็เกิดจากใจดวงนั้น แต่สัจธรรมเป็นจริงๆ นี่ ทุกดวงใจถ้ามันมีดวงตาเห็นธรรมแล้วมันจะเหมือนกันโดยสัจจะความจริงอันนั้นไง

ฉะนั้นเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเคารพธรรมของท่านนะ เวลาหลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เวลาท่านจะไปพักที่ไหน ถ้าที่ไหนเขามีหนังสือวางอยู่นี่ ถ้าอยู่เสมอท่าน ท่านจะไม่นั่งเลย ท่านต้องให้ยกขึ้นที่สูง เห็นไหม นี่สิ่งที่ยกขึ้นอยู่ที่สูงเพราะท่านเคารพบูชาของท่าน เพราะว่ามันสื่อธรรมะได้ไง นี่ที่สูงที่ต่ำ ที่สูงๆ ธรรมะอยู่ในที่สูงไง สัจธรรมมันอยู่ในที่สูงไง

การเคารพบูชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะสูงส่ง กราบธรรมๆ นะ เป็นเจ้าของ เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมาเอง เป็นผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ก็ยังเคารพบูชายังอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นไหม ยังเคารพบูชาธรรมะ ธรรมสัจธรรม กราบธรรมๆ เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านเคารพบูชาอันนั้น เห็นไหม แม้แต่ตัวอักษรท่านยังเคารพเลย แล้วถ้ามันสื่อออกๆ การเคารพบูชาอันนั้นเพราะมันสื่อสารธรรมะอันนั้นได้ นั่นนะสัจธรรมอันนั้น แล้วจิตใจมันอ่อนน้อมถ่อมตนไง ที่สูงที่ต่ำมันรู้จักที่สูง รู้จักที่สูงที่ต่ำ ที่สูง เห็นไหม ธรรมะอยู่ในที่สูง สูงส่ง

แต่ของเรานะ ของเราเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เรายกตัวเราให้สูง ยกความรู้สึกนึกคิดเราให้สูง แล้วมันก็เหยียบย่ำหัวใจไง หัวใจนี่เราโดนทิฏฐิมานะมันเหยียบย่ำ เหยียบย่ำ เห็นไหม เราเป็นคฤหัสถ์เป็นฆราวาส เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระนี่ บวชเป็นพระเพื่ออะไร ถ้าบวชเป็นพระเพื่อที่จะพ้นทุกข์ พ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกข์มันพ้นด้วยวิธีการอะไร

ในพระพุทธศาสนา ศาสนาที่ประเสริฐๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอันนี้ปัญญามันรื้อค้นนะ ปัญญามันเป็นมรรคญาณ เห็นไหม “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ถ้ามันมีมรรค มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เวลามีศีลขึ้นมา บวชขึ้นมาแล้วนี่ ศีล ๒๒๗ โดยสัจจะเลย บวชเป็นพระแล้วต้องถือศีล ๒๒๗ มันมีศีลในตัวมันเองโดยสมบูรณ์ ๒๒๗ ถ้าใครทำผิดพลาดสิ่งใดต้องปลงอาบัติ ถ้าทำผิดพลาดอาบัติหนักอาบัติเบาก็ต้องผิดพลาดตามอาบัตินั้น

ศีล ศีลมันเป็นปกติแล้ว ฉะนั้นนักบวชๆ เราเป็นพระ เป็นพระเรามีโอกาสมากกว่าเขา เห็นไหม ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ ทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง เรามีโอกาสอยู่แล้ว เพียงแต่เราเลือกหรือไม่เลือก เห็นไหม ถ้าเลือก เราบวชมาแล้ว บวชมาแล้วจะมีการศึกษาการเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนก็ศึกษาเล่าเรียนมาก็เพื่อเป็นความรู้ เป็นทฤษฏี ศึกษาทฤษฏีนั้นกลัวว่าเราปฏิบัติไปแล้วเราจะไม่เข้าใจ เราจะหลงทาง เวลาศึกษามาแล้วๆ เห็นไหม ธรรมะอยู่สูงส่งๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์

แต่ไอ้เราบวชมาแล้วนี่ เราเป็นพระโดยสมมุติ ถ้าศึกษามาแล้ว ศึกษามาก็ไม่มีความรู้ มีความรู้ก็คิดว่าตัวเองมีความรู้มีความสามารถ มีความรู้ความสามารถนะ ตัวตนก็โอ่อ่า ไปไหนนะโอ่อ่าไปหมด นี่สูงส่งไปทั่ว มันทิฏฐิมานะทั้งนั้น มันไม่มีความจริงในหัวใจเลย ถ้าเป็นความจริงในหัวใจ เห็นไหม ถ้ามันมีศีล ศีลก็เคารพกันอยู่แล้ว เคารพกันนะ อาวุโส ภันเต มันเคารพโดยธรรมแล้ว ถ้าโดยธรรม เห็นไหม นี่เขาบอกว่าไม่เคารพ ไม่เคารพ มันเคารพอยู่แล้วโดยอาวุโส ภันเต ถ้าอาวุโส ภันเต เห็นไหม เราเคารพบูชาโดยธรรมวินัย ถ้าธรรมวินัยนะ แล้วในใจของเรามีคุณธรรมหรือไม่

ถ้าในใจของครูบาอาจารย์เราท่านมีคุณธรรม เราเคารพบูชาอันนั้น มันซ้ำ ๒ ซ้ำ ๓ เข้าไปไง โดยธรรมวินัยเราเคารพพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พระที่อยู่ด้วยกันจะรู้จักหรือไม่รู้จัก เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นกฎหมาย มันเป็นวัฒนธรรมที่เราเคารพบูชากันมาอย่างนี้ แล้วถ้ามันเคารพบูชากันมาอย่างนี้มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นเรื่องส่วนบุคคลเพราะเขาเชื่อไง เขาเชื่อ เขาเคารพบูชาของเขาในใจของเขา เห็นไหม ถ้าเคารพบูชาในใจของเขา นั่นเพราะเคารพคุณธรรมในใจดวงนั้น

ถ้าเคารพในใจดวงนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่ประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญามันรู้ได้ คนเรา เห็นไหม เวลาทุกข์เวลายากนี่ ความทุกข์ ความยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้น เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เรามองว่าเป็นการงาน การงานสิ่งใด คำว่างานนี่ ทำสิ่งใดมันก็ต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้น แต่เวลาทำภัตกิจๆ นั้นมันก็งานเหมือนกัน ถ้าว่าเป็นงาน ชีวิตเรานี้ก็คือการงานเหมือนกัน เพราะเราต้องรักษาชีวิตของเราไว้ไง ถ้าเรารักษาชีวิตของเราไว้ เราจะต้องมีสติมีปัญญา

ถ้ามีสติมีปัญญา การรักษาของเรา รักษาอะไรๆ ถ้ารักษาแล้วก็รักษาหัวใจของเรานี่ไง ถ้ารักษาหัวใจของเรา เห็นไหม เราทำสิ่งใดก็เพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ แต่เกิดในชาติปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อนะ เราบวชมา บวชมา เห็นไหม

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกประพฤติปฏิบัตินะ มันขาดแคลนไปหมดนะ อยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกเลยไอ้พวกกาแฟ น้ำตาลนี่ จะเอาไว้ถ่ายรูปยังไม่มีเลย สมัยที่ครูบาอาจารย์เราท่านออกมุมานะ ความเชื่อถือของสังคมมันยังไม่เกิดขึ้น มันยังไม่มั่นคงอย่างนี้ ถ้าไม่มั่นคงอย่างนี้นะ มันขาดแคลนไปทั้งนั้นนะ เพราะอะไร เพราะขนาดที่ว่าเป็นพระยังขาดแคลน มันขาดแคลนมันขาดแคลนตรงไหน มันขาดแคลนปัจจัยเครื่องอาศัย แต่! แต่มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเวลานะ มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยการที่เราจะแสวงหาสัจธรรมในความจริงของเรานะ เพราะมันไม่มีใครมากวนไง มันไม่มีใครมากวน

เวลาหลวงตาท่านออกวิเวก ท่านบอกออกไปแล้วไปหาบ้านที่น้อยๆ ๒ หลัง ๓ หลัง เพราะว่าเขาไม่มากวนไง ถ้าเขาไม่กวนนะ เรามองถึงปัจจัยเครื่องอาศัยมันขาดแคลน ขาดแคลนเพราะคนเขาไม่รู้จัก ขาดแคลนเพราะคนเขาไม่รู้ แต่มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตรปฏิบัติ มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเวลาของเรา มันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยโอกาสที่เราจะพิจารณาความขาดตกบกพร่องในใจ ถ้าธรรมะมันสูงส่ง มันสูงส่งอย่างนี้ มันสูงส่งเพราะมันภูมิอกภูมิใจไง ภูมิอกภูมิใจในโอกาสของเรา ภูมิอกภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติของเราไง ถ้าเป็นกิเลสล่ะ เห็นไหม ถ้าธรรมะมันสูงส่งๆ มันอยู่สุขอยู่สบาย อยู่ที่ไหนมันปลอดโปร่งทั้งนั้นนะ

แต่ถ้ากิเลสมันสูงส่ง กิเลสมันเหยียบย่ำ มันต้องการน่ะๆ โลกธรรม ๘ มีลาภเลื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันต้องการให้คนนบนอบไง โมฆบุรุษตายเพราะลาภ มันเป็นโมฆบุรุษ มันไม่ใช่นักรบ นักรบนี่มันจะขาดแคลนๆ นั่นนะคือโอกาส โอกาสเพราะเราจะพิจารณาถึงหัวใจของเราที่มันเรียกร้อง หัวใจของเราที่มันขาดตกบกพร่อง

ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ เห็นไหม ธรรมะอยู่สูง ที่สูงที่ต่ำ ถ้ามันที่สูงที่ต่ำโดยข้อเท็จจริง โดยสัจจะความจริง ถ้าที่สูงที่ต่ำโดยสัจจะความจริง แต่ เห็นไหม ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลารู้รู้ในหัวใจของตน ถ้ารู้ในหัวใจของตนน่ะในที่ลับๆ เราว่าในความรู้สึกของเรามันลับ ไม่มีใครรู้แจ้ง ไม่รู้เท่าทันเรา การแสดงออกทั้งนั้น การอยู่ด้วยกัน การสัมผัสกัน เห็นไหม ที่ว่าเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ที่ขณะว่าเราเคารพธรรมวินัย คือ อาวุโส ภันเต อาวุโส ภันเต มันเคารพกันอยู่แล้ว แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในใจขึ้นมาด้วย คุณธรรมในใจด้วยมันเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์เพราะอะไร เป็นสิทธิ์เพราะมันอยู่ด้วยกันมันรับรู้ด้วยกันได้ มันสัมผัสได้ พอมันสัมผัสได้ สิ่งนี้มันเคารพบูชากัน ถึงรู้ด้วยกัน

ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงออก ศีลจะรู้ได้ว่าใครมีศีลหรือใครทุศีล มันอยู่ที่ว่าอยู่กันเวลาอยู่นานเข้าไปนะ อยู่ใกล้ชิดกัน อยู่ด้วยเวลานานมันจะเห็นหมด ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงออก ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเทศนาว่าการของท่าน หลวงปู่มั่นท่านพยายามชักนำของท่าน เวลาหลวงตาท่านบอก เวลาปฏิบัติไป มีปัญหาสิ่งใดไปถามท่าน ท่านรู้แล้วๆ ท่านรู้หมด ท่านผ่านมาหมดแล้วไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุกบั่นมาก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่ เจ้าลัทธิต่างๆ สังคมเขาเชื่อถือไง สังคมทุกสังคมเขาเชื่อถืออาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขานี้เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นนะ นี่ความเชื่อของสังคมไง แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเขาแล้วมันว่างเปล่า ไม่มีเหตุผล ไม่มีสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นข้อเท็จจริง ท่านก็ละจากที่นั่นไปๆ แสวงหาไปจนมันเป็นไปไม่ได้ไง

นี่มันเป็นไปไม่ได้โดยข้อเท็จจริง โดยข้อเท็จจริงคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เอกนามกิง หนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีสอง แล้วตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบเพราะมันไม่มีใครสั่งสอนไง โดยชอบเพราะเขาไม่มีวุฒิภาวะที่สามารถรู้ได้จริงไง เขาไม่มีความสามารถที่จะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา จะเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น ไปศึกษา แล้วมันไม่มี เวลามันมีขึ้นมามันก็เป็นอภิญญาซะ มันเป็นฌานโลกีย์ เห็นไหม มันส่งออกไปทั้งหมด มันรับรู้ออก แล้วมันเป็นผู้วิเศษ ผู้วิเศษรู้วาระจิต รู้เรื่องของคน รู้ทุกอย่าง รู้เรื่องของคนอื่น แต่ไม่รู้เรื่องของตน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เองโดยชอบในใจขององค์สมด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานาปานสติจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา เห็นไหม บุพเพนิสาวานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลาตรัสรู้ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซะเอง เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนี่มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ถ้าความจริง เห็นไหม กลับอ่อนน้อมถ่อมตนนะ

เวลาจิตใจผู้ที่มีคุณธรรมนะ มันอ่อนน้อมถ่อมตนๆ เพราะมันไม่มีทิฏฐิไง ไม่มีการอยากอวด อยากรู้ มันอ่อนน้อมถ่อมตนในตัวมันเองๆ เพราะว่า อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าไม่อยากสื่อความหมายกับใคร เพราะสื่อความหมายสื่อความหมายโดยธรรมเขารู้กับเราไม่ได้ เขารู้กับเราไม่ได้หรอก โลกรู้ได้อย่างมากที่สุดเป็นตรรกะ สัญชาตญาณรู้ได้แค่นั้น เขาว่าโลกียปัญญาๆ ไง รู้ได้แค่นั้นน่ะ

ทั้งๆ ที่ทางวิทยาศาสตร์เขาก็รู้ได้แค่นั้นนะ แต่เขาไม่รู้เรื่องใจของเขา เขาไม่รู้ที่มาไง จิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน มาอยู่ทำไม ตายแล้วไปไหน รู้ไม่ได้ ศึกษาแค่ไหนก็รู้ไม่ได้ ดูสิ เวลาเราบวชเป็นพระมาแล้ว เห็นไหม เราศึกษาในภาคปริยัติ เวลาภาคปริยัติเขาให้ความรู้กัน วัดผลนี่เปรียญธรรม ๑ ถึง ๙ ประโยค นักธรรมโท นักธรรมตรี นักธรรมเอก เขาให้ใบประกาศกัน แล้วจริงๆ แล้วได้อะไรมา นี่เป็นทฤษฏี เห็นไหม

ปริยัติศึกษามาเพื่อปฏิบัติ แล้วศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ของตน ตนมีวุฒิภาวะ ตนมีวุฒิ ตนมีวุฒิแล้วจะบริหารการปกครอง การปกครองมันก็เป็นผู้ชำนาญการในการบริหารจัดการเท่านั้น บริหารจัดการมันก็เป็นงาน ทางโลกเขาก็มีอยู่แล้ว บริษัทห้างร้านใหญ่ๆ เขาบริหารจัดการเขาทำได้หมด ไอ้นั่นมันเรื่องบริหารจัดการเพื่อผลประโยชน์ของเขา ผลประโยชน์ของบริษัท ผลประโยชน์ของโลก เราบริหารจัดการเพื่อความสงบร่มเย็นของโลก เราเป็นรัฐบุรุษ แต่ก็ตายเปล่าไง

แต่ถ้าโลกทัศน์ เห็นไหม โลกคือหมู่สัตว์ๆ โลกทัศน์คือภวาสวะคือภพ คือใจของเรา ถ้าใจของเรานะ ใครรู้แจ้งในหัวใจ เห็นไหม รื้อภพรื้อชาติ ถ้ารื้อภพรื้อชาติอันนี้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าความจริงนี้มันเกิดขึ้นไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ ทวนกระแสกลับเข้ามาในนี้ ถ้าทวนกระแสนี่ที่สูง จิตใจนี้สูงส่งมากนะ จิตใจนี้สูงส่งมาก พ้นไปจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ แต่ไม่แสดงตน ไม่แสดงตนกับโลก

เพราะการแสดงตนกับโลก เห็นไหม ถ้าแสดงตนกับโลกมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นโลกทั้งหมด มันเป็นโลกๆ ทั้งนั้น เพราะมันไม่มีการแสดงตนกับใคร มันเป็นความจริงในหัวใจอันนั้น ที่สูง “ธรรมะอยู่ในที่สูง” แต่กิเลส เห็นไหม มันเป็นขี้กลาก มันลามปาม แล้วกิเลสมันลามปาม เวลาขี้ทูตกุฏฐังมันเกิดบนศีรษะบนหัว มันอยู่ที่สูงไง มันอยู่สูงส่ง มันอยู่บนศีรษะนะ มันอยู่บนหัวของคน

แต่ธรรมะๆ นี่เวลาสูงส่งๆ ในใจ สูงส่งนี่ สูงส่งในใจเป็นอกุปปธรรมที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีร่องรอยให้ใครเห็นได้ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระอรหันต์เวลาสิ้นกิเลสไป เวลาสิ้นชีพไป พญามารรื้อค้นใหญ่เลย จะค้นหาดวงใจดวงนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มารเอย เธอไม่ต้องรื้อค้นหรอก เธอหาไม่เจอหรอก พ้นจากวัฏฏะไปแล้ว” ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ให้เธอรื้อค้น ไม่มีทาง

นี่ไง เวลาสูงส่งๆ อย่างนี้ไง สูงส่งจนใครก็หาไม่เจอ ใครก็หาไม่ได้ แต่รู้ได้ในใจดวงนั้นนะ รู้ได้ในใจของผู้ที่สิ้นกิเลส เพราะถ้าไม่รู้แจ้งแล้วมันสิ้นกิเลสไม่ได้ ถ้ามันรู้แจ้งในการสิ้นกิเลส เห็นไหม นี่สูงส่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมอันนี้ไง กราบธรรมที่ไม่มีร่องไม่มีรอย กราบธรรมที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นได้ แต่มันรู้ได้โดยผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น ถ้ารู้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุขๆ มันมีคุณค่าไง

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเกิดขึ้นจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มีรัตนะ ๒ เวลาแสดงธัมมจักฯ ไป เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก มีรัตนะ ๓ พร้อมขึ้นมา พร้อมขึ้นมา นี่ไง ผลการประพฤติปฏิบัติไง ถ้าประพฤติปฏิบัตินี่สูงส่งมาก สูงส่ง เห็นไหม ดูสิ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ทั้งนั้น เป็นสัญลักษณ์ในการเคารพบูชา ในการเคารพบูชานี่มันต้องมีที่หมายไง เห็นไหม ดูสิ วันนี้จะเป็นวันลงอุโบสถ วันลงอุโบสถเพราะอะไร เพราะพระ เห็นไหม บวชมาแล้วต่างคนต่างมีความเห็น ต่างคนต่างมีจริตนิสัย จริตนิสัยนี่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัว เห็นไหม มันเป็นเรื่องพันธุกรรมของจิต จิตของคนนะ

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในการกระทำนี่มันจำแนกให้เป็นจริตนิสัยมา จริตนิสัยเป็นส่วนจริตนิสัย จริตนิสัยเป็นของเรา นี้เราบวชมาเป็นพระๆ บวชมาในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบวชมาในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยมานี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว พระบวชมาแล้วโดยอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์นี่เป็นพระโดยสมมุติ สมบูรณ์ในพระ เราถึงมาลงอุโบสถกันด้วยนี่ไง

ถ้าไม่ลงอุโบสถ เห็นไหม ภิกษุถ้าเป็นนานาสังวาส ร่วมสังฆกรรมกันไม่ได้ ถ้าร่วมสังฆกรรมกันแล้วนี่การทำสังฆกรรมนั้นเป็นโมฆียะ ไม่มีผล เห็นไหม นี่ขนาดนานาสังวาสนะ แล้วถ้าบวชโดยที่ไม่เป็นอันบวช มันเข้าไปแล้วนี่มันไปทำให้เกิดเป็นโมฆียะ เป็นโมฆะ มันก็เกิดเวรเกิดกรรมจากจิตดวงนั้นไง

ฉะนั้น เราบวชเป็นพระ สมบูรณ์ในความเป็นพระ ถ้าสมบูรณ์ในความเป็นพระแล้วนี่ เราบวชมาแล้ว เราบวชเป็นพระปฏิบัติ เราบวชกันมาเพื่ออะไร บวชขึ้นมาเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าใครทำความสงบของใจได้นี่จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในใจของตน พุทธะ นี่พุทธะเวลาเราศึกษามา ศึกษาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะมันเป็นภาษา มันเป็นอักษร มันเป็นความหมายว่าเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาทำสมาธิขึ้นมาๆ พุทธะมันอยู่ที่ไหน พุทโธๆ

พุทธะนี่มันเป็นปัจจุบัน มันสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ กลางหัวใจกลางหัวอกนี่ ถ้ามันสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมา มันมีความสงบมีความระงับ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” ถ้ามันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม ถ้ามันสงบระงับเข้ามาแล้วนี่ ถ้าเรามีสติมีปัญญามีครูบาอาจารย์ท่านจะฝึกหัดให้ใช้ปัญญาๆ เพราะท่านต้องการให้พวกเราค้นคว้า ให้เกิดสติ ให้เกิดปัญญา ถ้าเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้ามันสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น มันจะสร้างศาสนทายาท สร้างสัจจะความจริงขึ้นมา

ศึกษามาขนาดไหน ศึกษานะ ศึกษามาเป็นปริยัติ ถ้าปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ เขาศึกษามาเพื่อให้ปฏิบัติ เพราะศึกษานั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการจำมา เป็นการศึกษาค้นคว้ามา ค้นคว้ามาแบบโลกๆ ไง แต่ว่าเราปฏิบัติขึ้นมานี่มันเป็นสมบัติของเราไง มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันยังไม่เข้าสู่มรรค เห็นไหม มันเป็นโลกียะ โลกียะมันเป็นเรื่องโลกไง มันเป็นเรื่องโลก เป็นสัญญา เป็นจำได้หมายรู้ เดี๋ยวก็ลืม จำได้เดี๋ยวก็ลืม ลืมแล้วก็ทบทวนใหม่ ทบทวนแล้วเดี๋ยวก็จำได้ใหม่ อยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริง จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันปัญญา การฝึกหัดของเรานะปฏิบัติซ้ำ ทำซ้ำ ทดสอบหัวใจของเราให้เป็นจริงขึ้นมา เวลามันปล่อยวางๆ เห็นไหม ตทังคปหานเราจำได้ ตทังคปหานเพราะเราเห็นความแตกต่าง ความแตกต่าง เวลาปัญญาที่มันเกิดขึ้นที่มันเป็นสัญญา ที่มันเป็นเรื่องโลก เวลาเรื่องโลกที่ศึกษาแล้วมันปล่อยวางๆ ขึ้นมา เห็นไหม บอกว่ามันเกิดนิพพินทะติ เกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายเดี๋ยวมันก็เป็นอีก

แต่ถ้าเราพิจารณาซ้ำๆ เข้าไปนี่ มันปล่อยวางๆ มันเห็นความแตกต่างไปตลอด แตกต่างขนาดไหนมันก็ยังไม่สรุปของมัน เห็นไหม เวลามันสรุปเข้ามา มรรคสามัคคี เวลามันสรุปของมันนะ เวลามันสมุจเฉทปหาน เวลามันขาดมันอกุปปธรรม นี่ไง ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา ที่กราบธรรมๆ กราบธรรมอันนี้

จิตดวงหนึ่งเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นบุคคล ๔ คู่ คำว่าบุคคล ๔ คู่ มรรค ๔ ผล ๔ เห็นไหม จิตดวงเดียวแท้ๆ มันพัฒนาการของมันไป แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ละภพแต่ละชาตินะ เราไม่รู้ เราไม่เห็น เรารู้ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลามันเกิดนี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นไหม อดีตชาติ การสะสมมา การสร้างสมมา การต่างๆ มา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย

นี่ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมาที่เรา จิตที่เราสร้างสมมามันมีความรู้ความเห็นอย่างไรมา มันเป็นจริตเป็นนิสัย แล้วกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องมือของมัน เวลาจิตสงบแล้วนี่เวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริงนะ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่กิเลสมันใช้มันก็ใช้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ของเราเพื่อเข้าไปสู่ความชอบใจของมัน ความชอบใจของมัน เห็นไหม เวลาเรามีสติมีปัญญาขึ้นมานะ สติปัฏฐาน ๔ จิตสงบแล้วนี่จับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม พิจารณาของมันไปนะ เวลามันปล่อยวางๆ เป็นตทังคปหาน เวลาคนทำๆ มันจะรู้ มาตรฐานของธรรมๆ มันมีมาตรฐานเดียว มาตรฐานของมันเวลาถึงที่สุดแล้วนี่เวลามันขาดขาดอันเดียวกัน อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลามรรคมันเกิดขึ้น ถ้ามรรคมันเกิดขึ้นเกิดขึ้นที่นี่ เห็นไหม ถ้ามันสูงส่งมันสูงส่งอย่างนี้

จิตใจที่มันสูงส่งเพราะมันมีการกระทำ มันเห็นคุณค่าไง มันเห็นคุณค่าของภาวนามยปัญญา มันเห็นคุณค่าของใจของคน ใจของเรานี่แหละ เวลามันพัฒนาการขึ้นไปนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบวชมาใหม่ๆ ท่านออกประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ท่านก็ค้นคว้าของท่าน มันก็เหมือนเรานี่แหละ ล้มลุกคลุกคลานมาก่อนทั้งนั้นนะ คนเรานะ เห็นไหม มีการศึกษามามากน้อยขนาดไหนก็ต้องฝึกงาน ฝึกงานขึ้นมาจนเป็นงานขึ้นไปแล้ว มีความชำนาญงานของเขา ถ้าชำนาญของเขานะ เขาทำไปแล้วมันจะประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จเพราะมันอยู่ที่การทำงานอันนั้น อยู่ที่สภาวะแวดล้อม อยู่ที่การกระทำนั้นมันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติใจของเรา อำนาจวาสนา เห็นไหม อยู่สภาวะแวดล้อมของเรา ถ้ามีอำนาจวาสนาเราจะเจอหมู่คณะที่ดี เราจะเจอครูบาอาจารย์ที่ดี เราจะเจอสถานที่ประพฤติปฏิบัติที่มันสมควรแก่การปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนานะ มันขลุกขลักไปหมด ล้มลุกคลุกคลาน พอไปเจอไปเจอแต่พาลชน มีแต่พาล พาลพาเราไปหาผิด พาเราออกนอกทั้งนั้นเลย มันไม่พาเราเข้าสู่สัจธรรมเลย

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเราจะเจอหมู่คณะที่ดี เห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเกิดมาเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กัน ท่านพากันออกประพฤติปฏิบัตินะ หลวงปู่เสาร์ท่านก็ชักจูงหลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ออกประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ท่านทั้ง ๒ องค์ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา หลวงปู่มั่นท่านก็มีลูกศิษย์ของท่าน หลวงปู่เสาร์ท่านก็มีลูกศิษย์ของท่าน พอลูกศิษย์ของท่านมากขึ้นๆ ท่านก็แยกกันอยู่ เพราะลูกศิษย์มันมากขึ้นมา นี่เพราะอำนาจวาสนาของท่าน ท่านทำมาของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านพิจารณาของท่าน จิตใจของท่านมีองค์ความรู้มีการกระทำอันนั้น

ฉะนั้น เวลาท่านสร้างศาสนทายาท ท่านพยายามค้นคว้าขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติ จนท่านประสบความสำเร็จในใจของท่านๆ โดยหลวงตาท่านพูดว่า หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยไปประกาศตนเลย เห็นไหม สูงสุด ไม่เคยอวด ไม่เคยพูด แต่เวลาท่านแสดงออกด้วยการเทศนาว่าการ เพราะอะไร เพราะว่าสร้างศาสนทายาทลูกศิษย์ลูกหามหาศาล แล้วแต่ละองค์นี่สุดยอดทั้งนั้น เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น

คำว่า “เป็นพระอรหันต์” นะ เขาต้องสร้างอำนาจวาสนาของท่านมา มันต้องมีจุดยืนของจิต จิตมีจุดยืน หัวใจนี้มีจุดยืน แล้วหัวใจนี่มีเหตุมีผล ไม่เชื่อฟังสิ่งใดง่ายๆ หรอก แต่เวลาไปเจอหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านไปเทศนาว่าการไป เหตุผลของท่านดีกว่า เหนือกว่า จนครูบาอาจารย์เราต้องยอมรับ การว่ายอมรับคือว่าเหตุผลเราสู้ท่านไม่ได้ เหตุผลเราไม่มีทางเทียบเคียงท่านได้

เวลาเราประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่าปฏิบัติไปท่านรู้แล้วๆ เราจะติดขัดอย่างไรไปหาท่านเถอะ ท่านแก้ให้เราได้ ท่านบอกเราได้ ท่านรู้แล้วๆ ไอ้เรายังซื่อบื้อ อยู่นะ เราปฏิบัติมาแล้วติดขัดขัดข้องไปหมด เรายังว่าเราถูกเราต้องดีงาม เพราะวุฒิภาวะเราต่ำไง วาสนาเราด้อยไง พอคนเราวาสนาด้อย เห็นไหม เวลาเรารู้เห็นสิ่งใดก็มันมหัศจรรย์ไง แต่ผู้ที่เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขารู้เขาเห็นของเขามาโดยบ่อยครั้ง เขารู้เขาเห็นกันมาแล้ว รู้เห็นแล้วมันยังมีเป้าหมาย มีการกระทำที่มันสูงส่งขึ้นไปๆ เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

นี่ท่านเทศนาว่าการของท่าน เพราะท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน เห็นไหม มันเป็นความจริงของท่านนะ ที่สูง สูงมากๆ เวลาสูงส่ง สูงส่งด้วยคุณธรรมของท่าน สูงส่งด้วยอำนาจวาสนาของท่าน สูงส่งด้วยเมตตาของท่าน สูงส่งที่ท่านพยายามฝึกหัดดัดแปลงเรา เพราะถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ ท่านจะปล่อยวางก็ได้ เพราะอะไร เพราะท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมท่านต้องมาสมบุกสมบันกับเรา คำว่าเป็นพระอรหันต์นะ ถ้าเป็นตามความเป็นจริงนะ มันมีความสุขในตัวมันเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขคือสุขในตัวมันเอง ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับใคร มันสุขของมันอยู่แล้ว ทำไมท่านต้องบากบั่น ใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเป็นแบบอย่าง แล้วพยายามชี้นำๆ พวกเราให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เห็นไหม สูงสุด ที่สูงสูงมากๆ เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเหมือนกับบ๋อยอยู่กลางวัด ดูแล คอยดูแล คอยจี้ คอยไช คอยบอกนี่ เหมือนกับบ๋อย เหมือนกับต้องคอยมาเอาอกเอาใจไง เอาอกเอาใจใช้สติปัญญาคอยชี้นำคอยบอกกล่าวให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าออกนอกลู่นอกทางไปแล้วก็ด้วยเหตุด้วยผลชักนำกลับมา เวลามันปฏิบัติไปแล้วนี่ กิเลสมันบังเงาๆ ว่ามันรู้อย่างนั้น มันเห็นอย่างนั้น มันจำมาทั้งนั้นนะ มันไม่มีความจริง

ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา มันต้องสุขในตัวมันเอง คำว่าสุขในตัวมันเอง เห็นไหม นี่ที่สูงที่ต่ำ สัจธรรมมันอยู่ต่ำ ดูสิ เวลาผู้นำ เห็นไหม เขาอยู่ข้างหลัง ให้หมู่คณะนำหน้าไป แล้วท่านบัญชาการอยู่ข้างหลังนั้น ไอ้ผู้นำ เห็นไหม อยู่หลัง คนที่รู้จริงเห็นจริงท่านไม่แสดงออก ท่านอยู่ในที่ของท่าน ถ้าว่าอยู่ในที่ต่ำ แต่ความจริงท่านอยู่ในที่สูงของท่าน เพราะที่สูงที่ต่ำ เพราะใจมันสูงส่ง มันอยู่ในที่สูงสุด สูงสุด แต่ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านทำให้ตัวของท่านต่ำต้อย คำว่าต่ำต้อยนะ ต่ำต้อยในทางโลกที่เขาเห็นไง ไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

แต่เวลาจะแสดงธรรมๆ สัจธรรมคือสัจธรรม สัจธรรมนะ ธรรมจักรนี่มันตัดหมด ขาดหมด ไม่มีสิ่งใดจะขวางกั้นได้ เวลาสัจธรรมมันแสดงตัวของมัน เห็นไหม สัจธรรมมันแสดงตัวของมัน มรรค ๔ ผล ๔ มันแสดงตัวของมัน แม้แต่พญามารยังต้องราบ ราบไปหมด ถ้าเป็นความจริงแล้วมันราบที่ไหน เพราะสัจธรรมนี้มันจะมีสัจจะมีความจริงต่อเมื่อมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องจัดการ ต้องทำลาย สัจธรรมอันนั้นบดเคี้ยวทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในดวงใจดวงนั้น ถ้าทำลายกิเลสในดวงใจดวงนั้น เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ สูงสุด ที่สูงที่ต่ำไง

ถ้ามันที่สูงที่ต่ำตามความเป็นจริงมันจะสูงต่ำอย่างนี้ สูงต่ำเพราะว่ามีคุณธรรมในใจอันนั้น เวลาอยู่ในที่ต่ำ ต่ำเพราะว่าไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้มันมีปัญหาไง แต่ถ้ากิเลสล่ะ กิเลสมันขี้กลาก ไม่มีสิ่งใดเลย อยู่บนศีรษะนั่น เหยียบย่ำเขาไปทั่ว แล้วเหยียบย่ำๆ ตัวเองด้วย เหยียบย่ำโอกาสของเรา เหยียบย่ำการกระทำของเรา เห็นไหม เราต้องรู้เท่า รู้เท่าทันกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา

นี่ฟังธรรมๆ วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุขก่อนนะ เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข แต่เพราะด้วยอำนาจวาสนา ความปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ถึงได้วางศาสนานี้ไว้ แล้ววางศาสนานี้ไว้สืบทอดกันมา สืบทอดกันมาจนมีครูบาอาจารย์ท่านมารื้อค้นของท่านขึ้นมา

เราเกิดมามีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาอย่างนี้ เห็นไหม ดูสิ ทางวิชาการเขาขุดค้น เขารื้อค้น เขาทดสอบ นักวิทยาศาสตร์เขาวิจัยเต็มที่เลย รู้ทางโลก รู้แต่เรื่องโลกๆ ทางโลกเจริญ เจริญคือคุณภาพชีวิต การดำรงชีพ แต่หัวใจมันอยู่กับอะไรล่ะ หัวใจอยู่กับอะไร หัวใจเรานี่อยู่กับสัจธรรม ถ้ามีคุณธรรมในใจนะ อาชีพเป็นอาชีพ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ถ้าพิจารณาสิ้นสุดแห่งทุกข์ เห็นไหม มันจะไม่เวียนว่ายตายเกิด เหนือโลก เหนือสงสาร เหนือสัจจะ เหนือความจริงทั้งหมด มันอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่เราบวชมาเป็นพระนะ วันนี้วันอาสาฬหบูชา พรุ่งนี้จะวันเข้าพรรษา ถ้าวันเข้าพรรษา เวลาครูบาอาจารย์วันเข้าพรรษา เห็นไหม อธิษฐานพรรษาๆ อธิษฐานธุดงค์ ข้อใดก็แล้วแต่ที่จะประพฤติปฏิบัติตลอด ๓ เดือนนี้ ถ้าตลอด ๓ เดือนนี้อธิษฐานเพื่ออะไร อธิษฐานไว้เพื่อขัดเกลากิเลสไง เพื่อขัดขามันไง เพื่อขัดขากิเลสไม่ให้มันเดินสะดวกสบาย ถ้าอยู่สุขอยู่สบายนะ กิเลสมันก็ตัวอ้วนๆ มันก็อยู่สุขสบายของมัน เราอธิษฐานธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่ง ถือผ้า ๓ ผืน ฉันมื้อเดียว ถือธุดงควัตรต่างๆ นะ เรานี่พระธุดงค์ ธุดงค์ ๑๓ พระธุดงค์ ธุดงค์คือธุดงควัตร ๑๓ เอาไว้ขัดเกลากิเลสไง

ฉะนั้น ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้วันอธิษฐานพรรษา อธิษฐานพรรษาแล้วนี่ตั้งสัจจะกับตน ฝึกฝน ดัดแปลง ตรวจสอบ เพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจของเรานี่ ปีหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว ปีที่ ๒ ที่ ๓ ก็ผ่านไปเรื่อยๆ นี่ปีนี้ก็ผ่านไปแล้ว พรรษาที่แล้วก็พรรษาหนึ่ง นี่จะเข้าพรรษาอีกแล้ว เดี๋ยวก็จะออกพรรษาอีกแล้ว ๓ เดือนนี่ให้ทดสอบ ให้ค้นคว้าทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจสงบแล้วนี่จะได้เห็นคุณค่าของศาสนา บวชมาไม่เสียผ้าเหลือง

ในทางโลก เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดมาเป็นชาวพุทธไม่เหยียบแผ่นดินผิด บวชเป็นพระ บวชเป็นนักรบ บวชมาแล้วนี่ค้นคว้าหาอริยทรัพย์ หาทรัพย์ในพระพุทธศาสนา ทรัพย์อันนี้มันจะเกิดขึ้นกับหัวใจ เราไม่ต้องไปศึกษาเอา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคแล้วเอาวุฒิ เอาวุฒิไปเพื่อไปเบิกทาง พระกรรมฐานไม่มีวุฒิภาวะใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่พุทโธ มีแต่สติปัญญา มีแต่การกระทำของเรา ให้มันแจ่มแจ้งกลางหัวใจนี้ ให้มันรื่นเริงอาจหาญในหัวใจของเรา เอวัง